คาเฟอีน

สารบัญ

“กาแฟ” ช่วยให้สมองตื่นตัวได้เพียง 3 ชั่วโมง ต่างจาก “ชาเขียวมัทฉะ” ที่สดชื่นได้นานกว่า

จริงอยู่ที่ “กาแฟ” ช่วยให้คนวัยทำงานเพิ่มพลังสมองให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่คาเฟอีนในกาแฟมักจะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คาเฟอีนใน “ชาเขียวมัทฉะ” ช่วยให้สมองตื่นตัวเช่นกัน ยังช่วยให้คงความสดได้นานขึ้นอีกด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในหมู่ “คนทำงาน” ที่ขาดไม่ได้ทุกเช้า แต่หลายคนรู้สึกว่าหลังจากดื่มกาแฟไปไม่กี่ชั่วโมง จะเริ่มรู้สึกเซื่องซึมและเซื่องซึมอีกครั้ง จนต้องเติมกาแฟวันละ 2-3-4 ถ้วยเข้าสู่ร่างกาย

หากคุณไม่ต้องการประสบกับ “ภาวะขาดคาเฟอีน” ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการบริโภคกาแฟมากเกินไป ได้แก่ อาการกระวนกระวายใจ หงุดหงิด หัวใจเต้นเร็ว ปวดหัว นอนไม่หลับ และ/หรือหากคุณไม่ต้องการดื่มกาแฟเพิ่ม อาจลองเปลี่ยนไปดื่ม “ชาเขียวมัทฉะ” แทนได้

ชาเขียวมีคาเฟอีนเหมือนกับกาแฟ แต่ไม่ก่อให้เกิดอาการ “ขาดคาเฟอีน”
จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าชาเขียวมัทฉะนอกจากจะช่วยให้สมองตื่นตัวแล้วอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในแง่ของการมีสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ในร่างกายทำให้เกิดการป้องกันมะเร็ง

นอกจากนี้ยังมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการถอนคาเฟอีน นอกจากนี้ ชาเขียวจะค่อยๆ ปล่อยคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายช้าลง ช่วยให้สมองตื่นตัวและกระฉับกระเฉงได้นานกว่าคาเฟอีนในกาแฟ

“กาแฟ” vs “ชาเขียวมัทฉะ” แก้วไหนจะสดชื่นได้นานกว่ากัน ?
Healthline.com รายงานว่ากาแฟ 1 มื้อ (8 ออนซ์หรือ 240 มล.) มีคาเฟอีน 96-120 มก. ในขณะที่ชาเขียวมัทฉะ 1 มื้อ (2 ออนซ์หรือ 60 มล.) มีคาเฟอีน 96-120 มก. .) ในการใช้ผงมัทฉะ 1 กรัมมีคาเฟอีนเพียง 38-88 มก. ในหนึ่งมื้อ กาแฟมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่ามัทฉะ

ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า “กาแฟ” มีคาเฟอีนในปริมาณมาก ช่วยให้สดชื่นและบรรเทาอาการง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายดูดซึมคาเฟอีน 99% เข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วมาก ซึ่งหมายความว่า หลังจากดื่มกาแฟเพียง 15-30 นาที คาเฟอีนในกาแฟจะขัดขวางการทำงานของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า “อะดีโนซีน” (ทำหน้าที่สร้าง เรารู้สึกง่วงและเหนื่อย) ป้องกันการทำงานของอะดีโนซีน ทำให้เรารู้สึกสดชื่นแทบจะในทันที และจะรู้สึกตื่นตัวอีก 2-3 ชั่วโมง

แล้วคาเฟอีนก็หมดฤทธิ์ ทำให้บางคนง่วงอีกจนต้องหากาแฟแก้วต่อไปดื่มอีก บางคนดื่มวันละ 3-4 แก้ว ซึ่งก็คือปริมาณคาเฟอีนที่บริโภคต่อวันนั่นเอง ที่ส่งผลให้มีอาการ “ถอนคาเฟอีน” เมื่อไม่ดื่มหรือดื่มน้อยกว่าปกติ

แต่ในทางกลับกัน “ชาเขียวมัทฉะ” แม้ว่าจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ 50% แต่ก็สามารถช่วยให้ผู้ดื่มมีพลังงานและความสดชื่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ฤทธิ์ของคาเฟอีนในชาเขียว ในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เนื่องจากชาเขียวมัทฉะมีแอล-ธีอะนีนซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมคาเฟอีนได้ช้าลง

ดังนั้นแม้แต่ผู้ดื่มชาเขียวมัทฉะก็จะไม่รู้สึกตื่นตัวในทันที แต่ผลของคาเฟอีนจะคงอยู่นาน 4-6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้สมองตื่นตัวมากกว่าดื่มกาแฟ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องดื่มชาเขียวหลายแก้วต่อวัน และ “แอล-ธีอะนีน” ในชาเขียวมัทฉะช่วยลดความเครียดได้ ต้านอาการวิตกกังวล และไม่ทำให้เกิดอาการ “ขาดคาเฟอีน” อีกด้วย

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของ “กาแฟ” กับ “ชาเขียวมัทฉะ” กันชัดๆ
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้บอกว่าการดื่ม “กาแฟ” ไม่ดีหรือมีประโยชน์ เพราะกาแฟมีประโยชน์มากมายหากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม การศึกษาชิ้นหนึ่งจากหอสมุดแห่งชาติแพทยศาสตร์พบว่าการดื่มกาแฟสองแก้วต่อวันช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง “เบาหวานชนิดที่ 2” มากถึง 12%

นอกจากนี้ การบริโภคกาแฟอาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคหัวใจ และอาจช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้

ในขณะที่ชาเขียวมัทฉะที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง มีแร่ธาตุและกรดอะมิโนต่างๆ ช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านวัยและอาจฟื้นฟูเซลล์ร่างกายให้แข็งแรง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต

นอกจากนี้ยังมีระดับ pH ที่สมดุลที่ช่วยย่อยอาหารได้ดี มีสาร “คาเทชิน” ช่วยลดกลิ่นปากและลดคราบพลัคฟัน ช่วยปรับปรุงสภาพอารมณ์และจิตใจของคุณ ลดความเสี่ยงของการโจมตีเสียขวัญ ลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและทำให้ผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม คนทำงานและพนักงานออฟฟิศสามารถเลือกดื่มเครื่องดื่มทั้งสองนี้ได้ตามความพึงพอใจ และเหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง สิ่งสำคัญคือต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการดื่มใกล้เวลานอนจะดีที่สุด